วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2558

กระต่ายหมายจันทร์

 

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีกระต่ายตัวหนึ่งหลงรักพระจันทร์จนหมดใจ ทุกวันกระต่ายน้อยจะเฝ้ารอเวลาพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า  เพื่อจะได้มองเห็นดวงจันทราที่ตนหลงรัก แม้เพียงเสี้ยวจันทร์ก็ทำให้กระต่ายดีใจ ยิ่งวันไหนพระจันทร์เต็มดวง ความดีใจยิ่งเท่าทวีคูณ
แต่ความรักของกระต่ายน้อยก็อาภัพนัก พระจันทร์หลงรักพระอาทิตย์อยู่ ไม่เคยมองเห็นเงาของกระต่ายสักครา โชคดีที่เทพเทวาเห็นถึงความรัก ความจริงใจที่กระต่ายมี จึงประทับภาพกระต่ายไว้ในดวงจันทร์นับแต่นั้นมา...
ในนิทานเรื่องราวจบลงเช่นนี้ แต่มีบางอย่างที่คนเขียนนิทานอาจไม่เคยรู้...

พระจันทร์ เป็นเทพธิดาแห่งแสงสว่างในยามค่ำคืน ไฉนเลยเทพเทวาจะบีบบังคับได้ ถ้าไม่เพราะความเต็มใจของพระจันทร์เอง ทุกครั้งที่กระต่ายมองขึ้นมา พระจันทร์จะส่งยิ้มตอบเสมอ จากความเอ็นดูเล็กๆ แปรเปลี่ยนเป็นความผูกพันลึกๆ ตามเวลาที่เลยผ่าน
หากแต่เพราะเป็นพระจันทร์ เป็นเทพธิดาแห่งแสงสว่างในยามค่ำคืน จึงไม่สามารถเอื้อนเอ่ยสิ่งใดได้ ได้แต่ส่งยิ้ม ส่งกำลังใจผ่านแสงจันทร์นวลสว่าง ประทับรูปกระต่ายไว้ บอกเป็นนัยให้เจ้ากระต่ายได้รับรู้ แต่กระต่ายน้อยแสนซื่อก็ไม่เคยรับรู้ความนัยนั้นเลย
นี่เป็นอีกด้านของนิทานที่ไม่มีใครรู้...
ถ้าเพียงแต่พระจันทร์ยอมเอ่ยปากพูดก่อน หรือเจ้ากระต่ายน้อยเลิกคิดไปเอง เอ่ยถามพระจันทร์สักนิด กระต่ายน้อยกับพระจันทร์ อาจได้อยู่เคียงข้างอย่างที่ฝันก็เป็นได้...
 
(ขอบคุณรูปภาพสวยๆจากอินเตอร์เน็ต)

วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2558

รีวิวหนังสือ - เอาชีวิตรอดจากแผ่นดินไหว

สวัสดีค่ะ หายหน้าไปสามสี่วัน ลืมกันหรือยังเอ่ย^^
วันนี้ได้อ่านการ์ตูนความรู้สำหรับเด็กเล่มหนึ่ง น่าสนใจดี เลยเอามาเขียนรีวิวสบายๆสไตล์ไออุ่นให้ได้อ่านกันค่ะ^^
……………………………………………………


‘เอาชีวิตรอดจากแผ่นดินไหว’ เป็นหนังสือการ์ตูนความรู้วิทยาศาสตร์ ของสองนักเขียนมากความสามารถจากแดนกิมจิ ฮอง แจซอย และ ริวกิอัน แปลภาษาไทยโดยคุณเรืองชัย รักศรีอักษร
‘เอาชีวิตรอดจากแผ่นดินไหว’ แค่ชื่อก็บอกชัดเจนแล้วล่ะค่ะว่าเล่มนี้เน้นให้ความรู้เรื่องอะไร แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นคือเนื้อหาข้างใน ถึงจะเป็นการ์ตูนความรู้สำหรับเด็ก แต่บอกเลยค่ะว่าเนื้อหาแน่นมาก
การ์ตูนเล่มนี้ดำเนินเรื่องผ่านการผจญภัยของสามตัวละครหลัก ‘โมโม่’ เด็กชายจอมซ่า ขี้โม้นิดๆ ‘มีมี่’ ลูกพี่ลูกน้องของโมโม่ ฉลาด น่ารัก แต่ขี้กลัวหน่อยๆ และสุดท้าย ‘คุณพ่อ’ ผู้ที่สามารถหลับสนิทได้ในเวลาอันรวดเร็ว แต่กระนั้นก็มีความรู้และทักษะรอบด้านหลายอย่าง สองพ่อลูกกับหนึ่งหลานสาวตั้งใจจะไปพักผ่อน แช่น้ำร้อนที่ประเทศญี่ปุ่น แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เสียงประกาศเตือนแผ่นดินไหวดังสนั่น ประชาชนอพยพหนีทั้งเกาะ แต่อนิจจา ทั้งสามกลับหลับสนิทไม่รู้ตัว...
และนั่นก็เป็นที่มาของการผจญภัยครั้งสำคัญ แผ่นดินไหวรุนแรง สึนามิถล่ม โมโม่ มีมี่ และคุณพ่อ ต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อจะเอาชีวิตรอดจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ให้ได้
ในส่วนของเนื้อหาผู้เขียนบรรยายได้ละเอียดดีค่ะ ใช้ภาษาที่ง่ายต่อการเข้าใจ แม้จะมีบางช่วงบางตอนเน้นความรู้มากไปสักหน่อย ตามแบบฉบับของการ์ตูนความรู้ แต่ก็มีการสอดแทรกมุกตลกขำๆเล็กๆไปด้วย ทำให้ไม่เสียอรรถรสในการอ่าน ประกอบกับภาพการ์ตูนสวยๆ จากนักวาดการ์ตูนมากฝีมือมุน จุงโฮ ทำให้หนังสือการ์ตูนเล่มนี้น่าอ่าน น่าสนใจมากขึ้น ขณะเดียวกันผู้เขียนก็ไม่ลืมสรุปความรู้ไว้ท้ายบทอย่างครบถ้วนให้ผู้ที่สนใจได้อ่านเพิ่มเติม
สำหรับคุณพ่อคุณแม่ ผู้ปกครองที่อยากส่งเสริมความรู้วิทยาศาสตร์ ทักษะการเอาชีวิตรอดให้ลูกๆ หนังสือเล่มนี้ก็เป็นตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อยค่ะ เหมาะสำหรับเด็กประถม มัธยม หรือผู้ที่สนใจด้านวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์แผ่นดินไหว เหตุการณ์ที่อาจจะดูเหมือนไกลตัวสำหรับคนไทย แต่รู้ไว้ก็ไม่เสียหายนะคะ ใครจะรู้วันหนึ่งข้างหน้า เราอาจได้ใช้ทักษะจากการ์ตูนเล่มนี้ก็ได้ (แต่หวังว่าจะไม่ได้ใช้นะ)

สุขสันต์วันพุธ ขอให้มีความสุขตลอดทั้งวัน สวัสดีค่ะ^^

วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2558

เพราะรูปถ่ายมีอะไรมากกว่าที่คิด


รูปถ่าย เป็นเหมือนไทม์แมชชีนที่ช่วยให้เราย้อนเวลาความรู้สึกไปยังอดีต
ทำให้นึกถึงเรื่องราวต่างๆในรูปถ่ายใบนั้น

รอยยิ้มของเรา รอยยิ้มของคนในครอบครัว เพื่อน หรือคนข้างๆที่นั่งถ่ายรูปด้วยกัน
เป็นอะไรที่ดูกี่ครั้งก็ยิ้มตามทุกที

บางรูป ไม่มีเราในนั้นหรอก แต่เป็นรูปที่เราถ่ายมันด้วยตัวเอง มองแล้วอดคิดถึงตอนที่ถ่ายไม่ได้เลย
 
ถึงรูปถ่ายหลายๆใบจะบันทึกภาพความสุข
แต่ก็มีบางรูปที่แฝงไปด้วยความเศร้านิดๆ ทุกครั้งที่เห็น
เพราะคนในรูปไม่ได้พบเจอกันแล้ว ไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้ว
แต่อย่างน้อย ครั้งหนึ่งเราก็เคยมีช่วงเวลาดีๆด้วยกันให้บันทึกไว้

รูปถ่ายจึงเป็นสิ่งที่บันทึกเรื่องราวในชีวิตแต่ละคน สุขบ้าง เศร้าบ้าง คละเคล้ากันไป
รูปบางรูปอาจดูไม่สวยงามสักนิดในสายตาคนอื่น แต่กลับสวยงามที่สุดสำหรับเจ้าของภาพ
เพราะสิ่งที่ทำให้สวยงาม คือความทรงจำที่อยู่ในนั้นต่างหาก

แต่รูปทุกรูปก็คืออดีตเท่านั้น อดีตที่ไม่สามารถไปแก้ไขได้แล้ว
แม้มันจะยังคงบันทึกอยู่ในความทรงจำ แต่ก็เป็นเพียงแค่ความทรงจำ ไม่ใช่ปัจจุบัน

คงจะดีไม่น้อย หากทุกคนมองรูปถ่ายที่บันทึกความสุขไว้เติมเต็มกำลังใจ เติมไฟให้สู้ต่อ
มองรูปถ่ายที่บันทึกความเศร้าไว้บอกตัวเองว่า ครั้งหนึ่งเราเคยผ่านเรื่องแย่ๆมาแล้ว ถ้าต้องผ่านอีกสักเรื่องเราย่อมทำได้อย่างแน่นอน

มองรูปถ่ายเหล่านั้น แล้วสร้างสรรรูปถ่ายสวยๆใบใหม่ขึ้นมา
ไว้บันทึกความสุข ความทรงจำดีๆในวันนี้
เพื่อที่วันหนึ่งข้างหน้า คุณจะได้มองมันอีกครั้งด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข


ลูกโป่ง

เห็นเด็กถือลูกโป่งเดินผ่าน น่ารักดี จะถ่ายรูปก็ไม่ทัน แต่ได้ไอเดียเขียนอะไรนิดหน่อย ลองอ่านดูนะคะ^^
...........................................



ลูกโป่ง เป็นของขวัญเล็กๆที่น่ารักสำหรับเด็กน้อยเสมอ
ถือไปไหนใครๆก็มองด้วยความรู้สึกเอ็นดู...


แต่น่าสงสารเด็กน้อยบางคนที่มัวเล่นสนุกจนเพลิน
เผลอปล่อยลูกโป่งลอยหนีไปไกล


คุณแม่บางท่านเลยเอาเชือกผูกติดข้อมือไว้ให้
แต่เจ้ากรรม ดันไม่ระวัง ลูกโป่งถูกกิ่งไม้แตกไปอีก
เด็กน้อยเลยได้แต่ร้องไห้เสียดายลูกโป่งสวยๆของตัวเอง...


ลูกโป่ง คงเปรียบได้กับความรู้สึกของคนเรา
งดงาม แต่เปราะบาง ต้องคอยใส่ใจ ทะนุถนอม

การผูกเชือกไว้กับข้อมือ การผูกมัดไว้ด้วยสถานะบางอย่าง คงช่วยแค่ไม่ให้ลูกโป่งลอยหนีไปไกล
แต่ไม่มีอะไรยืนยันได้ว่า มันจะอยู่กับเราตลอดไป


อยากให้ความรู้สึกดีๆของใครสักคนอยู่ด้วยไปนานๆ
ก็อย่าลืมทะนุถนอมให้ดีๆ เพราะเมื่อไหร่ที่มันหายไป ต่อให้ร้องไห้เสียใจแค่ไหนก็คงไม่ได้กลับคืน


หันไปใส่ใจดูแลลูกโป่งของคุณบ้างนะคะ

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2558

เรื่องเล่าวันฝนพรำ



ทุกครั้งที่ฝนตก
เรามักจะได้ยินเสียงแห่งความดีใจ
สลับไปกับเสียงบ่นว่าของคนเสมอ

ชาวนาบอก 'ดีใจจัง ฝนตกแล้ว จะได้ทำนาเสียที'
คนทำงานออฟฟิตบ่น 'จะตกอะไรกันนักหนา รถก็ติด เปียกก็เปียก กว่าจะถึงที่ทำงาน'

คำชื่นชม คำบ่นว่าอีกมาก ที่ใครหลายๆคนพูดถึงเวลาฝนตก

ลึกๆแล้ว ฝนคงรู้สึกน้อยใจที่ทำอะไรก็มีคนติเตียนเช่นนี้
แต่ถึงอย่างนั้น ฝนก็ยังคงทำหน้าที่ของตนเสมอ
อาจเป็นเพราะเธอคิดถึงคนที่ลำบากกว่า หากขาดเธอไป

หากฝนไม่ตก ชาวนาจะทำนาอย่างไร
หากฝนไม่ตก ต้นไม้ใบหญ้าจะเหี่ยวเฉาแค่ไหน
หากฝนไม่ตก มนุษย์และสัตว์จะเอาน้ำที่ไหนดื่มกิน

ทุกครั้งที่สายฝนพรำ ฝนกำลังพร่ำสอนเราว่า
เราไม่สามารถทำอะไรให้ทุกคนพอใจได้
ต่อให้ทำดีแค่ไหน ก็ยังมีคนไม่เห็นด้วย
มีคนติเตียนเป็นธรรมดา

แต่จงนึกถึงหน้าที่ นึกถึงสิ่งดีๆที่เราทำ
หากมั่นใจว่าสิ่งนั้นดี สิ่งนั้นเป็นประโยชน์กับคนอื่นแล้ว ก็จงทำมันต่อไป
ทำด้วยหัวใจที่เป็นสุข แม้จะมีคนไม่ชอบ ไม่เห็นด้วยบ้าง
แต่เชื่อเถอะว่า มีคนอีกมากที่ชื่นชม และเห็นค่าในความดีของคุณ

จงทำตัวเหมือน ฝน
ที่ทำหน้าที่ของตนอย่างดีที่สุดเสมอ

#เรื่องเล่าวันฝนพรำ 
#สถานีไออุ่น

วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2558

ซีรี่ย์นิทานการเงิน ตอน พบ ดร.พิทบูล ตอนที่ 2



เจี๊ยบ ไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยนะ นะเจี๊ยบนะฉันอ้อนวอนเจี๊ยบ ฉันไม่กล้าไปหา ดร.คนเดียวหรอก มันน่ากลัวเกินไป
ไม่ ดร.ดุขนาดนั้น ฉันไม่ไปหรอกเจี๊ยบตอบอย่างไม่คิดเลย แต่ลูกอ้อนของฉันสำเร็จเสมอ อย่างที่ฉันคนบอกคุณนั่นแหละค่ะ ถึงเจี๊ยบจะพูดไม่เพราะอยู่บ้าง แต่เจี๊ยบก็เป็นลูกไก่ที่ดี เจี๊ยบไม่ปล่อยให้ฉันไปคนเดียวหรอก ก็เพื่อนกันจะทิ้งกันตอนลำบากได้อย่างไร จริงไหม^^

ก๊อกๆๆๆ เราทั้งสองเคาะประตูห้อง ดร.พิทบูล แต่ไม่มีใครตอบเลย
ก๊อกๆ ฉันเคาะอีกรอบ
 
ใครเสียงตะคอกกลับมา
ทันใดนั้นประตูก็ถูกกระชากเปิดอย่างแรง
ฉันกับเจี๊ยบกระโดดกอดกันกลม ดร.จะกัดเราไหมนะ ฉันกลัว ฮือๆ
 
พวกเธอมีอะไรกับครูเหรอ เสียงดร.ถามพวกเรา
ฉันค่อยๆรวบรวมความกล้า ปล่อยมือจากเจี๊ยบ แล้วหันไปหาดร. พร้อมกับยื่นจดหมายจากลุงเต่าไปให้
 
ลุงเต่าบอกให้หนูเอาจดหมายนี่มาหาดร.ค่ะ บอกให้มารับของขวัญของลุงเต่าจากดร.ฉันพูดมันออกไปแล้ว ฉันพูดกับ ดร.พิทบูลแล้ว
 
ดร.พิทบูลหยิบจดหมายจากมือฉันไปอ่าน แล้วอนุญาตให้เราสองคนมานั่งในห้อง ดร.

ปัง!
เสียงประตูปิดอย่างแรง ฉันกับเจี๊ยบกระโดดกอดกันอีกครั้ง

ดร.พิทบูลหันมามองพวกเราแล้วหัวเราะเบาๆ
ขอโทษที่ทำให้พวกเธอตกใจ ประตูห้องครูมันพังน่ะ ปิดเบาๆไม่เข้า ไม่ต้องกลัวครูหรอก ครูอาจจะพูดเสียงดังบ้าง แต่ครูไม่ได้ดุขนาดนั้น
 
เอ๊ะ???
 
ฉันกับเจี๊ยบหันมามองหน้าดร. ถ้าไม่รวมหน้าดุๆ และเหตุการณ์เมื่อครู่ที่ ดร.ปิดประตูเสียงดัง ซึ่งก็เพราะประตูพัง จะว่าไป ดร.ก็ไม่ได้น่ากลัวมากนะ ฉันกับเจี๊ยบหันมามองหน้ากันอีกครั้ง ก่อนจะขอโทษ ดร.ที่เสียมารยาทแสดงออกว่ากลัวดร.แบบนั้น ดร.คงรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่

ขอโทษครับ / ขอโทษค่ะ

ไม่เป็นไร ครูชินแล้ว หลายๆคนมักจะกลัวครูทั้งนั้น แต่ครูอยากแนะนำพวกเธออย่างหนึ่งนะ อย่าเพิ่งตัดสินใคร จนกว่าจะได้รู้จักเขาจริงๆ ส่วนเรื่องของขวัญไม่มีหรอก

อ้าวฉันอุทานเสียงดังอย่างผิดหวัง

ฮ่าๆ มันไม่มีเป็นชิ้น แต่เป็นความรู้ที่ลุงเต่าอยากให้ครูสอนเธอบราวนี่ และตอนนี้คงเป็นเธอด้วยเจี๊ยบ ถ้าเธออยากเรียน

ผมอยากเรียนครับ

งั้นวันนี้ตอนเลิกเรียนพวกเธอมาหาครูที่นี่นะ ครูจะสอนวิชาหาเงินให้” ดร.พิทบูลพูดจบก็ขอตัวไปสอนต่อ ฉันกับเจี๊ยบก็ต้องไปเรียนแล้วเหมือนกัน
 
วิชาหาเงินงั้นเหรอ แค่ชื่อวิชาก็น่าสนใจแล้ว 
เมื่อไหร่จะเลิกเรียนนะ ฉันอยากเรียนวิชาหาเงินจะแย่แล้ว 
ฉันจะได้มีเงินไปหยอดกระปุกความฝันให้เต็มเร็วๆสักที

โปรดติดตามตอนต่อไป

ซีรี่ย์นิทานการเงิน ตอน พบ ดร.พิทบูล ตอนที่ 1





สวัสดีจ๊ะบราวนี่
วันนี้วันเปิดเทอมของหนูใช่ไหม ลุงดีใจนะที่หนูรักษาสัญญา ไม่เปิดจดหมายของลุงก่อน และทำตามที่ลุงแนะนำทุกอย่าง ถึงตอนนี้บราวนี่คงเข้าใจที่ลุงเคยบอกแล้วใช่ไหม การออมมันไม่ง่ายเลย มีคนมากมายที่ไม่เห็นด้วย ไม่เชื่อว่าเราทำได้ เราต้องสู้กับคนอื่น กับใจตัวเองไม่ให้ใช้เงินนั่นเสียก่อน สงสัยไหมทำไมลุงถึงรู้ ก็ลุงเคยผ่านมันมาหมดแล้วไงล่ะ มันอาจจะยาก แต่ลุงเชื่อว่าหนูทำได้ หนูเก่งมากเลยนะบราวนี่ ลุงมีรางวัลให้คนเก่งด้วย หนูถือจดหมายนี้ไปหาญาติของลุงนะ เขาชื่อ ดร.พิทบูล ชื่อคุ้นๆใช่ไหม ใช่แล้วล่ะ ก็ครูสอนคณิตศาตร์ของโรงเรียนหนูไง ถือจดมายไปหาเขา แล้วหนูจะได้รับรางวัลของลุง ไว้มีโอกาสลุงจะไปเยี่ยมหนูกับแม่นะ

                                                                                                                                                                 ลุงเต่า

ฉันพับจดหมายของลุงเต่าใส่กล่องไว้อย่างดี อดคิดไม่ได้ว่าถ้าฉันเปิดจดหมายก่อน แล้วใช้เงินซื้อชุดใหม่ หรือเลิกออมตอนที่แม่กับเจี๊ยบหัวเราะ ฉันคงรู้สึกผิดมากแน่เลย ก็ลุงเต่าเชื่อมั่นในตัวฉันขนาดนี้

แต่ฉันไม่เข้าใจเลยทำไมลุงเต่าไม่เอาของขวัญใส่ในกล่องนี้เลยล่ะ ทำไมต้องให้ไปหา ดร.พิทบูล ด้วย

ก็ ดร.พิทบลู น่ะ เป็นครูสอนคณิตศาสตร์และก็ครูฝ่ายปกครองด้วย หน้าดุขนาดนั้น ใครๆก็กลัวกันทั้งโรงเรียน ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้สักคน แล้วแบบนี้ฉันจะกล้าไปหาเหรอ ฉันจะไปดีไหมนะ
แต่ฉันก็อยากได้ของขวัญนี่ นั่นของขวัญจากลุงเต่าเชียวนะ แต่ ดร.ก็น่ากลัวเกินไป
ไป
ไม่ไป
ไป
ไม่ไป
ไป
ไป
ฉันเฝ้าแต่คิดถึงเรื่อง ดร.พิทบูลกับของขวัญจนหลับไป

โปรดติดตามตอนต่อไป


สวัสดีค่ะ กระต่ายน้อยบราวนี่กลับมาแล้วค่ะ ตอนแรกตั้งใจจะทำภาพประกอบตอนเดิมให้เสร็จค่อยเริ่มเขียนตอนใหม่ แต่ก็ไม่เสร็จสักที นานไปเดี๋ยวไฟหมด เลยจะทำทั้งสองอย่างพร้อมกันเลย เพราะฉะนั้นตอนนี้เอาแต่เนื้อหาไปก่อนนะคะ ภาพคงอีกนาน บราวนี่ฝากมาบอกว่า คิดถึงทุกคนมากค่ะ^^


วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2558

ฟุตบอล...

มีคนเคยบอกว่า ฟุตบอลก็แค่ลูกกลมๆ จะไปยื้อแย่งกันให้เหนื่อยทำไม

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่หลายๆคนจะคิดแบบนั้น
แต่ถ้าคุณมีโอกาสได้สัมผัสความรู้สึกของนักเตะเวลาเลี้ยงลูกฟุตบอล ความรู้สึกของกองเชียร์เวลาผู้เล่นในทีมโปรดได้ลูก คุณก็จะเข้าใจเองว่าทำไมหลายๆคนถึงคลั่งไคล้กีฬาประเภทนี้

ความรู้สึกสนุก ตื่นเต้น ลุ้นทุกวินาทีต่างหากล่ะ คือเสน่ห์ของฟุตบอล
แต่ไม่ใช่แค่ความสนุกเท่านั้นหรอกที่ได้รับ

ฟุตบอลให้แง่คิดอะไรอีกมาก
เกมฟุตบอลก็เหมือนกับเกมชีวิตของคนเรานั่นแหละ

ก่อนการเล่นทุกครั้ง โค้ชและผู้เล่นต้องช่วยกันวางแผนรับมือคู่แข่ง คู่แข่งถนัดเล่นแบบไหน เราจะวางตัวผู้เล่นอย่างไร จะเล่นรูปแบบไหนเพื่อให้ได้ชนะมา ชีวิตคนเราก็ต้องมีการวางแผนเช่นกัน

แต่พอลงสนามจริง หลายๆสิ่งอาจจะไม่เป็นแบบนั้น โค้ชต้องคิดแก้เกมตลอดเวลา ผู้เล่นเองก็ต้องมีทักษะรับรู้ด้วยตัวเองได้ว่าสถานการณ์แบบนี้เราควรจะทำอย่างไร ซึ่งทักษะนี้จะเกิดขึ้นได้จากการฝึกฝนอย่างหนักนั่นเอง

ผู้เล่นที่ดีต้องรู้จักหาจังหวะ รู้จักสร้างโอกาสให้ตัวเอง รู้จักที่จะเร่งเกม หรือดึงเกมไว้ในบางเวลา ในขณะเดียวกันก็ต้องเคารพกฎกติกา และประเมินสถานการณ์ได้ บางครั้งเราจำเป็นต้องตัดเกมอีกฝ่าย ยอมเสียลูกทุ่ม เสียเตะมุม ดีกว่าให้คู่แข่งเดินหน้าไปทำประตู ซึ่งมีโอกาสจะเสียประตูมากกว่า

เราอาจต้องยอมเสียบางสิ่งเพื่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า คุ้มค่ากว่า

และเมื่อมีโอกาสทำประตูต้องทำให้ดีที่สุด เพราะอาจจะไม่มีโอกาสนั้นอีกเลยตลอดทั้งเกม

ฟุตบอลยังสอนเราอีกว่าเราไม่สามารถทำงานใหญ่ๆให้สำเร็จได้โดยลำพัง ต่อให้เป็นนักเตะที่มีทักษะการเล่นบอลดีแค่ไหน ก็ไม่สามารถพาลูกฟุตบอลหนีผู้เล่นถึงสิบคนไปเผชิญหน้ากับผู้รักษาประตูได้ โดยปราศจากความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมทีม ในเมื่อเราอยู่ร่วมกัน ทำงานร่วมกัน ต้องคิดถึงประโยชน์ส่วนรวมมาก่อน ระหว่างเลี้ยงลูกลุยเดี่ยวกับส่งต่อให้เพื่อน อันไหนจะเป็นประโยชน์มากกว่ากันในสถานการณ์นั้นๆ

เมื่อได้ประตูต้องไม่ประมาท เมื่อเสียประตูต้องไม่ท้อ
ตราบใดที่เสียงนกหวีดหมดเวลายังไม่ดังขึ้น เราก็ยังมีโอกาสเสมอ

ถึงบางครั้งกรรมการ กองเชียร์อาจไม่เป็นใจบ้าง แต่ในเมื่อเราเป็นผู้เล่นในสนาม เราไม่สามารถไปกะเกณฑ์ให้ใครได้ดั่งใจเรา
หน้าที่ผู้เล่นต้องเคารพการตัดสิน ต้องเล่นฟุตบอล เราก็แค่ทำหน้าที่ของเราให้เต็มที่ ให้ดีที่สุดก็เพียงพอแล้ว

การพ่ายแพ้ในเกมการแข่งขันไม่ใช่เรื่องน่าเศร้า เพราะมีอีกหลายเกมให้เราได้พิสูจน์ฝีมือต่อ แต่ที่น่าเศร้าคือความพ่ายแพ้นั้นเกิดขึ้นเพราะผู้เล่นถอดใจยอมแพ้ จนทำเสียเองบ่อยๆ ทั้งๆที่หากลุกขึ้นสู้ ก็มีโอกาสชนะเช่นกัน

คุณล่ะคะ จะเลือกเป็นผู้เล่นแบบไหน สู้ให้เต็มที่จนหมดเวลา
และยอมรับกับผลการแข่งขันอย่างเต็มภาคภูมิ
หรือถอดใจยอมแพ้ ตั้งแต่เสียงนกหวีดหมดเวลายังไม่ดังขึ้น

คุณเท่านั้นเป็นคนเลือกเอง





วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2558

จดหมายจากหมา ฉบับที่ 1

ถ้าวันหนึ่งหมาเขียนจดหมายได้ เคยคิดไหมว่ามันจะเขียนอะไรถึงเจ้าของ

จดหมายฉบับที่ 1 จากหมาน้อยตัวหนึ่งถึงเจ้าของที่รัก
............................................................


แด่เธอ...เพื่อนรักของฉัน

จำได้ไหม เมื่อตอนเด็ก เราเล่นสนุกด้วยกันแค่ไหน
จำได้ไหมที่เธอเคยบอกหมาตัวนี้ว่าเราเป็นเพื่อนรักกัน
ฉันจำมันได้ทุกอย่าง แล้วเธอล่ะเคยจำได้ไหม...

เราเคยมีช่วงเวลาดีๆด้วยกัน เคยสนุกด้วยกัน ยิ้มด้วยกัน หัวเราะไปด้วยกัน  
เรามีความสุขทุกครั้งที่อยู่ด้วยกัน
แต่แล้ววันหนึ่ง ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป...

ฉันไม่เคยรู้สักนิดว่ามันเกิดอะไร ไม่เคยเข้าใจสักครั้งว่าทำไมเพื่อนของฉันถึงเป็นแบบนี้
เวลากินข้าว แค่ฉันเข้าใกล้ เธอก็เมินหนี ไม่ให้ข้าวฉันเหมือนก่อน
เวลาเธอเล่น ฉันแค่อยากเล่นด้วยเหมือนเคย เธอกลับทำเฉย เหมือนฉันไม่มีตัวตน

ฉันอยากตะโกนถามเธอดังๆ ว่าฉันทำผิดอะไร ทำไมเธอต้องเมินเฉย ทำไมเธอต้องเฉยชา ทำไมต้องใจร้ายกับฉัน
ฉันอยากบอกให้เธอรู้ว่าหมาตัวนี้ คิดถึงเพื่อนคนเดิมของมันแค่ไหน ทรมานแค่ไหนที่เราเป็นแบบนี้
อยากพูด อยากบอก อยากถามให้ชัดๆ แต่ฉันก็ทำไม่ได้ ฉันทำไม่ได้เลย

เพราะฉันมันก็แค่หมาตัวหนึ่ง ที่พูดไม่ได้ บอกไม่ได้
ต่อให้พยายามทำดี พยายามคลอเคลีย เรียกร้องความสนใจแค่ไหน เธอก็ไม่เคยสนใจสักครั้ง

ฉันรู้ว่าเธอคงรำคาญ แต่อย่ารำคาญฉันเลยนะ ฉันมีแค่เธอที่เป็นเพื่อน เป็นเจ้านาย เป็นชีวิตของฉัน
อย่าเป็นแบบนี้อีกเลย สงสารฉันเถอะ สงสารหมาตัวนี้ที่มันรักเธอเถอะนะ

จากฉัน
หมาน้อยของเธอ





วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2558

หันไปใส่ใจคนข้างๆบ้างนะคะ...


ไม่มีใครในโลกนี้ที่ยิ้มได้ หัวเราะได้ตลอดเวลาหรอก
ทุกคนต่างมีเวลาล้า เวลาท้อด้วยกันทั้งนั้น
หากคุณลองมองดูให้ชัด คุณอาจจะเห็นน้ำตาที่ซ่อนอยู่ก็ได้
อย่าละเลย อย่ามองข้ามความรู้สึกของใคร เพียงเพราะคิดว่าเขาเก่ง เขาไม่เป็นไร เขาอยู่ได้
คนเราต่อให้เก่ง ต่อให้แกร่งแค่ไหน ก็ต้องการใครสักคนที่เข้าใจ คอยปลอบโยนเวลาที่เหนื่อยล้าด้วยกันทั้งนั้น
จริงๆคุณไม่ต้องทำอะไรมากก็ได้ แค่อยู่ข้างๆ คอยจับมือเขาไว้ ไม่ให้เขารู้สึกว่าต้องสู้ลำพัง ก็เพียงพอแล้ว
ลองมองดูคนข้างๆ หันไปใส่ใจเขาบ้างนะคะ
เวลานี้เขาอาจจะอยากจับมืออุ่นๆของคุณอยู่ก็ได้...

วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2558

กระทู้รวมซีรี่ย์นิทานการเงิน

สวัสดีค่ะ วันนี้เปิดไปหน้าพันทิปของตัวเอง ไปเจอกระทู้ซีรี่ย์นิทานการเงินที่เคยลงไว้สองตอน มีคนรออ่านด้วยแหละ แบบปลื้ม^^
เลยคิดว่าน่าจะเอามาโพสไว้ เพราะมันรวมไว้ในหน้าเดียว สำหรับเพื่อนๆที่เพิ่งเข้ามาบล็อกและสนใจ จะได้ไม่ต้องไล่หาในบทความก่อนหน้า ซึ่งก็มีหลายบทความ คงหายาก 

สำหรับตอนต่อไป ตุ๊กกำลังเขียนค่ะ ไม่ทิ้งแน่นอน และถ้าเสร็จคงลงที่บล็อก สถานีไออุ่น ที่แรกอยู่แล้ว
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ^^
รักคนอ่านมากมาย :)



 

วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2558

บทกลอนสอนใจ - กระต่ายกับเต่า หรือเราเช่นกัน



มีนิทานเคยฟังครั้งยังเด็ก                   ด้วยยังเล็กเพียงสนุกและหรรษา 
หาได้รู้ข้อคิดที่แทรกมา                     หัวเราะร่าเมื่อได้ฟังทุกครั้งไป

กระต่ายป่าตัวโตวิ่งแพ้เต่า                  ช่างโง่เขลาเบาปัญญาหาเทียบได้ 
เหตุใดไม่วิ่งไปรอที่เส้นชัย                  กลับหลับไปใต้ต้นไม้อย่างเพลิดเพลิน

พอโตขึ้นฟังอีกครั้งจึงได้คิด                ด้วยชีวิตหลากเรื่องราวที่เผชิญ 
ช่างเหมือนกับกระต่ายป่าโดยบังเอิญ       มัวเพลิดเพลินจนประมาทผิดพลาดไป

เพราะหมกมุ่นหาความสุขใส่ชีวิต            จนลืมคิดถึงเป้าหมายที่วางไว้ 
กว่าจะรู้ตัวอีกครั้งก็สายไป                   นั่งเศร้าใจเหมือนกระต่ายในนิทาน








วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2558

ดินสอ ปากกา



ดินสอ คือเครื่องเขียนที่เด็กนักเรียนทุกคนต้องมี
บางแท่งมียางลบในตัว
บางแท่งเป็นดินสอกด ไม่มียางลบ
แต่เราก็สามารถหาซื้อยางลบมาลบได้

ถึงบางครั้งเราจะเขียนผิดบ้าง
ก็สามารถลบและเขียนใหม่ได้เสมอ

แต่พอโตขึ้น
ครูกลับบอกให้เลิกใช้ดินสอ แล้วเปลี่ยนมาใช้ปากกาแทน

ครั้งแรกกับเพื่อนใหม่ที่ชื่อปากกา เราต่างรู้สึกไม่คุ้นชิน
กลัวเขียนผิด กลัวโดนครูดุ
เพราะปากกาไม่มียางลบอะไรมาลบได้แล้ว
ต่อให้ใช้ลิควิดลบได้ แต่ก็ทิ้งรอยขาวๆ ทำให้สมุดเราเปรอะเปื้อนอยู่ดี

แต่ก็เพราะปากกาอีกนั่นแหละ ที่ทำให้เรารอบคอบ และระมัดระวังมากขึ้น

บางทีครูคงกำลังพยายามสอนเราว่า ดินสอกับปากกาก็เหมือนช่วงวัยชีวิตของคนเรา
แม้จะเขียนได้เหมือนกัน แต่แตกต่างกันที่ลายเส้น และความคงทนของตัวหนังสือ

ถ้าดินสอเปรียบเหมือนวัยเด็ก ปากกาก็คงเปรียบได้กับวัยผู้ใหญ่
แม้จะมีความคิดเช่นกัน แต่แน่นอนว่าย่อมแตกต่างกันตามประสบการณ์ที่มี

เพราะเป็นผู้ใหญ่ทำให้ต้องระมัดระวังมากกว่าเด็ก
เพราะเป็นผู้ใหญ่ทำให้ต้องคิด พิจารณาในทุกคำพูด ทุกการกระทำมากกว่า

เมื่อเด็กทำผิด หลายๆคนคงพร้อมอภัยให้ในความไร้เดียงสา
คงเหมือนรอยของดินสอที่ถูกยางลบลบทิ้งได้

แต่กับผู้ใหญ่คงไม่ง่ายนักที่จะลบความผิดเหล่านั้น
สิ่งที่ง่ายยิ่งกว่า คือ คิดทุกครั้งก่อนกระทำลงไป
และเมื่อตัดสินใจทำไปแล้ว จงยอมรับให้ได้ หากสมุดของเราเล่มนี้จะมีรอยลิควิดขาวๆ เปรอะเปื้อนอยู่




( เครดิตรูปภาพในรูปเลยจ้า^^ )

วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2558

ช้อนสั้น ช้อนยาว




ช้อนยาว ทำไมเธอถึงดูเศร้านัก
คำถามที่เต็มไปด้วยความห่วงใยจากช้อนสั้นเพื่อนรัก

ส้อมเขาจากฉันไปแล้วล่ะช้อนสั้น ต่อไปฉันจะตักข้าว ตักอาหารได้อย่างไร ถ้าไม่มีส้อมคอยช่วย
ช้อนยาวตอบกลับอย่างเศร้าใจ

เธอเพียงแค่คุ้นชินกับการที่มีส้อมอยู่ข้างๆ คอยช่วยตักอาหารเท่านั้นแหละช้อนยาว แต่ถึงไม่มีส้อม เธอก็ยังตักเองได้ ดูฉันสิ ฉันยังทำได้ ทำไมเธอจะทำไม่ได้ล่ะ เพราะถึงเราจะแตกต่างกัน แต่เราก็เป็นช้อนเหมือนกัน มีคุณค่าในตัวเองเหมือนกัน การตักอาหารด้วยตัวเองไม่ใช่เรื่องยากเลยสักนิด เชื่อฉันเถอะ

ช้อนยาวค่อยๆยิ้มออกมาทีละนิด
จริงของช้อนสั้น บางทีเธออาจจะกังวลมากเกินไป ถึงไม่มีส้อมแล้ว เธอก็ยังตักอาหารเองได้ ทำอะไรเองได้ มันอาจจะไม่คุ้นชินไปบ้าง แต่คงไม่ยากจนเกินไปนักหรอก

ไม่แน่นะ บางทีวันข้างหน้าเธออาจจะเจอส้อมคันอื่นมาช่วยเธอตักก็ได้ แต่ถึงจะไม่มีก็ไม่เป็นไร
เพราะช้อนทุกคันมีคุณค่า เหตุใดต้องลดทอนคุณค่าในตัวเองเพื่อสิ่งที่จากไปด้วยเล่า

ฉันเข้าใจแล้วล่ะ ขอบคุณมากนะช้อนสั้น
ช้อนยาวยิ้มให้ด้วยความรู้สึกขอบคุณ


#ช้อนสั้น ช้อนยาว
#นิทานไออุ่น



ขอบคุณรูปช้อนสวยๆจาก http://maypungpung.blogspot.com/2012/11/blog-post_19.html