วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ให้เราเหนื่อยเป็นเพื่อนนะ


รีวิวหนังสือ ครอบครัวตึ๋งหนืด ตอน เที่ยวต่างแดนแบบสุดตึ๋ง


ครอบครัวตึ๋งหนืด ตอน เที่ยวต่างแดนแบบสุดตึ๋ง หนังสือเล่มนี้เป็นการ์ตูนความรู้เศรษฐศาสตร์ที่จะพาทุกท่านไปท่องเที่ยวกับครอบครัวตึ๋งหนืดที่มีความขี้ตืดไม่เป็นรองใคร โดยในเล่มเริ่มต้นจากฮารุได้รางวัลแพ็กเกจทัวร์ยุโรปฟรี เป็นตั๋วเครื่องบิน 3 ใบ ซึ่งสมาชิกของบ้าน 2 คนต้องสละสิทธิ์ไม่ไปเที่ยวในครั้งนี้ (บ้านนี้มีสมาชิก 6 คน แต่คารุอายุต่ำกว่า 24 เดือนจึงได้สิทธิ์บินฟรี) แต่ด้วยความที่คุณแม่ใจดี (เหรอ?) อนุญาตให้ทุกคนไปเที่ยวได้ ถ้าหาตั๋วเครื่องบินฟรีได้อีก 2 ใบ และเป็นฮารุอีกเช่นเคยที่หาตั๋วนั้นมาให้ทุกคนได้ ทริปท่องเที่ยวสุดประหยัดที่แฝงความฮาจึงเกิดขึ้น...
การเดินทางท่องเที่ยวของครอบครัวตึ๋งหนืดเริ่มมีปัญหาตั้งแต่ก่อนออกเดินทาง เพราะมีโทรุจอมเขมือบอาหารและขยันสร้างเรื่องไปด้วย แต่กระนั้นครอบครัวนี้ก็ยังสามารถท่องเที่ยวได้อย่างราบรื่น สนุกสนาน และปลอดภัยตลอดทริป และแม้จะเป็นการเที่ยวต่างประเทศ แต่ด้วยเป็นความครอบครัวที่ขี้ตืดสุดๆ เรื่องการประหยัดเงินจึงเป็นเรื่องสำคัญ พวกเขาจึงสรรหาสารพัดวิธีประหยัดมาให้เราได้เรียนรู้กัน
สิ่งที่เราชอบในเล่มนี้คงเป็นเกร็ดความรู้ในแต่ละตอนที่แทรกไว้ เช่น เคล็ดลับในการจัดกระเป๋าเดินทาง มารยาทการทักทาย เทคนิคการจองตั๋วเครื่องบินราคาถูก เคาช์เซิร์ฟฟิง แบ่งปันที่พักฟรี สถานที่เที่ยวต่างๆ และข้อมูลที่น่าสนใจหลายๆอย่าง ซึ่งเราเชื่อว่าข้อมูลเหล่านี้เป็นประโยชน์สำหรับคนที่ต้องการเที่ยวต่างประเทศแบบประหยัดอย่างแน่นอน
พูดถึงสิ่งที่ชอบไปแล้ว มาถึงสิ่งที่ไม่ชอบกันบ้าง จริงๆจะเรียกว่าไม่ชอบก็อาจไม่ถูกเสียทีเดียว เรียกว่าไม่ค่อยถูกจริตจะเหมาะกว่า ด้วยความที่ชื่อหนังสือก็บอกชัดว่าครอบครัวนี้ขี้ตืดแค่ไหน พออ่านไปจึงรู้สึกว่าตัวละคร โดยเฉพาะคุณแม่ ประหยัดมากๆ มากจนดูจะเกินจริง ซึ่งนั่นคงเป็นเจตนาของคนเขียนที่ตั้งใจให้ครอบครัวนี้ออกมาขี้ตืดสุดๆ แต่ก็มีความฮา น่ารักอยู่ในตัว ซึ่งในจุดนี้ขึ้นอยู่กับความชอบของผู้อ่านแต่ละท่านค่ะ
อย่างไรก็ตาม สำหรับใครที่สนใจการ์ตูนความรู้เศรษฐศาสตร์ กำลังหาข้อมูลการท่องเที่ยวต่างประเทศแบบประหยัด หรือเกร็ดความรู้เล็กๆเกี่ยวกับการท่องเที่ยว แนะนำให้ลองอ่านการ์ตูนเล่มนี้ดูค่ะ ‘ครอบครัวตึ๋งหนืด ตอน เที่ยวต่างแดนแบบสุดตึ๋ง’ ตอบโจทย์ในจุดนี้ได้ดีทีเดียว ส่วนเรื่องการประหยัดที่อาจจะดูเยอะไปสักหน่อย ก็ลองเลือกเอาข้อดีและความรู้ต่างๆ (ซึ่งมีอยู่เยอะ) มาปรับใช้ให้เหมาะกับตัวเองดูนะคะ
หนังสือทุกเล่มมีความน่าสนใจในตัว ครอบครัวตึ๋งหนืดที่ขี้ตืดสุดๆก็มีความฮา น่ารัก และสาระในตัวเช่นกันค่ะ ลองอ่านดูนะ^^
...............................................
ข้อมูลหนังสือ
ชื่อหนังสือ: ครอบครัวตึ๋งหนืด ตอน เที่ยวต่างแดนแบบสุดตึ๋ง
ผู้แต่ง: อิมชังโฮ
ภาพประกอบ: ริว, ซูฮย็อง
ผู้แปล: อภิศรี นิรุตติปัญญากุล
พิมพ์ครั้งที่ 1 กันยายน 2558 สำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์ ราคา 158 บาท (192 หน้า)
................................................
Talk Talk Talk มาเม้าท์ส่งท้ายค่ะ
ก่อนอื่นต้องขอบคุณผู้ใหญ่ใจดีทั้งสองท่าน แอดมินนานมีบุ๊คส์แฟนและพี่แอร์ วรวลัญช์ ที่ส่งหนังสือมาให้อ่าน แต่ด้วยความบังเอิญหรืออย่างไร หรืออาจจะเพราะเราเขียนซีรี่ย์นิทานการเงินสำหรับเด็ก บวกกับเคยรีวิวการ์ตูนความรู้เกี่ยวกับการเงินไป ผู้ใหญ่ทั้งสองท่านเลยใจตรงกันส่งครอบครัวตึ๋งหนืดมาให้ เพราะเป็นเรื่องเดียวกัน ขออนุญาตเอามาเล่าแค่เล่มที่เป็นตอนล่าสุดเล่มเดียวนะคะ เพื่อประกอบการตัดสินใจให้ใครที่กำลังมองหาหนังสือแนวนี้อยู่ ใจจริงอยากส่งความใจดีนี้ต่อ แต่อ่านข้อความที่คนให้ส่งมา เลยขอเก็บไว้เองดีกว่า^^
หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่สนใจหนังสือแนวนี้นะคะ ขอบคุณมากๆ สำหรับหนังสือ กราบงามๆค่ะ^^



วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

อาหารที่เหลือ...


ครูสาวคนหนึ่งสอบบรรจุได้ในโรงเรียนเล็กๆแห่งหนึ่งในแถบชนบท และเป็นธรรมเนียมของโรงเรียนแห่งนี้ที่ครูทุกคนต้องออกเงินเพื่อเป็นค่าอาหารกลางวันของคณะครู

เธอสังเกตเห็นว่าในทุกวันอาหารจะต้องเหลือในหม้อเกือบครึ่งตลอด จนรู้สึกเสียดายอาหารมากมายที่เหลือ เสียดายเงินที่สิ้นเปลืองไปโดยใช่เหตุ ด้วยความสงสัยว่าเหตุใดครูที่เตรียมอาหารจึงไม่ยอมลดปริมาณอาหารลง ทำให้เธอตัดสินใจเอ่ยถามออกไป

ครูคะ ทำไมเราไม่ลดปริมาณอาหารลงล่ะคะ แต่ละวันเห็นเหลือเกือบครึ่งตลอดเลย คือ หนูกลัวว่าเด็กๆจะเอาเป็นแบบอย่างได้ ที่เราเหลืออาหารทิ้งเยอะแบบนี้ นั่นเป็นสิ่งที่เธอคิดมาตลอด

ครูคนนั้นมองหน้าเธอเล็กน้อย ก่อนจะบอกให้เดินตามไปด้านหลังโรงอาหาร
และภาพที่เห็นคือเด็กๆนั่งร่วมวงกินอาหารที่เหลืออยู่อย่างเอร็ดอร่อย ใบหน้าแต่ละคนถูกแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มที่ใครดูก็รู้ว่ามีความสุข

นี่แหละค่ะเหตุผลของพี่และครูทุกคนที่นี่ เด็กโรงเรียนเรา ส่วนใหญ่มีฐานะยากจน เด็กประถมโชคดีที่รัฐมีงบค่าอาหารให้ แต่เด็ก ม.ต้นไม่มี พวกเขาจึงต้องห่อข้าวมาจากบ้านเอง บางคนมีกับข้าวมาด้วยเล็กน้อย แต่บางคนไม่มีเลย พี่และครูทุกคนจึงเลือกจะออกเงินกันซื้ออาหารมาเยอะๆ เผื่อพวกเขาด้วย หลายคนอาจมองว่าพวกพี่ไม่ประหยัด อาจมองว่าอาหารเหล่านี้คือของเหลือ แต่สำหรับเด็กที่นี่มันคือมื้อเที่ยงที่อร่อยที่สุด และเป็นมื้อเที่ยงที่ครูทุกคนอยากแบ่งปันให้พวกเขา

ทันทีที่ครูท่านนั้นกล่าวจบ เธอมองไปยังภาพเบื้องหน้าอีกครั้งด้วยความรู้สึกหลากหลาย รู้สึกสงสารเด็กนักเรียนที่ลำบาก รู้สึกผิดที่เอ่ยถามไปเช่นนั้น...


และนับจากนั้นเป็นต้นมา สายตาที่เธอมองครูในโรงเรียนนี้ก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง และไม่มีสักครั้งที่เธอจะนึกเสียดายเงิน เสียดายอาหารที่เหลืออีกเลย เพราะเธอรู้แล้วว่าอาหารเหล่านั้นไม่ใช่เศษอาหารที่เหลือทิ้งขว้าง หากแต่เป็นอาหารที่ครูทุกคนจงใจเหลือไว้ให้เด็กๆ เป็นอาหารมื้อสำคัญที่ช่วยให้พวกเขามีแรง มีพลังในการเล่าเรียนต่อไป...

#อาหารที่เหลือ #สถานีไออุ่น

ปล. เพิ่มเติมจากเค้าโครงเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในโรงเรียนเล็กๆแห่งหนึ่ง ที่เล่ามาเพราะรู้สึกนับถือความคิดของครูโรงเรียนนี้ และอยากถ่ายทอดให้รู้ว่าในสังคมเรายังมีคนอีกมากที่ขาดแคลนแม้กระทั่งอาหารกินในแต่ละวัน เด็กกลุ่มนี้ยังโชคดีที่อย่างน้อยก็ยังมีโอกาสได้เรียน มีครูใจดีแบ่งปันอาหารให้ ในขณะที่เด็กอีกหลายคนไม่มีโอกาสนั้นเลย

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

สุขสันต์วันลอยกระทงคร่าาาา

เลยมาหลายนาทีแระ แต่ยังเป็นคืนวันนี้อยู่เนอะ สุขสันต์วันลอยกระทงค่ะ ขอให้ทุกข์โศกโรคภัย เรื่องร้ายๆหายไปกับสายน้ำ มีความสุขมากๆนะคะทุกคน สุขสันต์วันลอยกระทงค่ะ^^

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ซีรี่ย์นิทานการเงิน ตอนจบ



ซีรี่ย์นิทานการเงิน
ตอนจบ

หลังจากวันนั้นที่ฉันรับจ้างเก็บแครอทให้คุณยายซาร่า ฉันก็เข้าไปคุยกับลุงวิลลี่ ป้าต่าย แล้วก็เชอรี่ตามที่ตั้งใจไว้ ซึ่งแน่นอนว่ากระต่ายทุกตัวจ้างฉันเก็บแครอทให้ แต่กว่าจะกล้าไปคุยมันยากมากเลยรู้ไหม แต่ฉันก็ทำได้ ดีใจที่สุดเลย^^

และวันนี้ก็ครบ 1 สัปดาห์ที่ฉันกับเจี๊ยบต้องไปพบ ดร.พิทบูลแล้ว อยากเล่าให้ ดร.ฟังเร็วๆจัง

ก๊อกๆ

สวัสดีบราวนี่ เจี๊ยบ เป็นไงบ้างล่ะดร.ถามขึ้นทันทีหลังจากเปิดประตูมาเจอพวกเราทั้งสอง
ดร.ซ่อมประตูแล้วเหรอครับเจี๊ยบคิดเหมือนฉันเลย ฉันล่ะตั้งรับกับเสียงประตูมาเต็มที่ แต่เงียบกริบซะงั้น
ฮ่าๆ ใช่ นักเรียนกลัวครูมากขึ้นเพราะเสียงประตูนี่แหละ เลยให้ช่างมาซ่อมซะเลย
ดร. พิทบูลตอบกลับอย่างใจดีก่อนจะเอ่ยถามเรื่องงานต่อ
แล้วเรื่องทำงานหาเงินของพวกหนูเป็นไงบ้างล่ะ

ของผมแม่ไม่ให้วางหน้าร้านครับ บอกว่าอยากให้ผมลองเองก่อน ผมเลยทำขนมรูปตัวการ์ตูนต่างๆ มาขายให้เพื่อนๆในโรงเรียนครับ สองสามวันแรกขายไม่ได้เลย ผมเสียดายขนม เลยเอาแจกเพื่อนๆให้ได้ลองชิมกัน ไม่น่าเชื่อเลยครับ ดร. หลังจากวันนั้นผมขายหมดทุกวันเลย
ส่วนหนู หนูได้ลูกค้าเป็นกระต่ายที่รู้จักกัน 4 ตัวแล้วค่ะ พวกเขาจ้างหนูเก็บแครอทไปส่งที่บ้านให้ หนูคิดหัวละ 1 บาท ได้เกือบๆ เดือนละ 500 บาทเลยค่ะ แต่หนูต้องตื่นเช้าขึ้น ไปกลับวันละสองรอบ เหนื่อย แต่สนุกค่ะ
ฉันกับเจี๊ยบเล่าให้ ดร.ฟัง ด้วยความภาคภูมิใจ

 “ดีมากเด็กๆ เจี๊ยบเก่งมากที่พยายามหาช่องทางขายขนมของตัวเองได้ แม้จะด้วยความบังเอิญ แต่นั่นแหละคือหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุด เราทำขนมออกมาอร่อย แต่ถ้าเขาไม่ได้ลองชิม เขาก็คงไม่รู้จริงไหม ดีมากที่เลือกทำแบบนั้น ส่วนบราวนี่ก็เก่งที่กล้าเข้าไปคุย ไปหาลูกค้า เก่งมากๆจ้า
เชื่อไหม ฉันตัวลอยเลยที่ได้ยิน ดร.พิทบูลชม เจี๊ยบก็คงเหมือนกัน ยิ้มกว้างเชียว
ดร.พิทบูล ครูที่เด็กทั้งโรงเรียนกลัวกำลังชมพวกเรา ดีใจสุดๆไปเลย

"แต่ ดร.คะ มีกระต่ายอีกหลายตัวมาถามหนู จะจ้างหนู แต่หนูกลัวไม่ไหว แต่หนูก็อยากได้เงินเพิ่มค่ะ จะทำยังไงดีคะ"
หลังจากวันนั้นที่ฉันรับจ้างเก็บแครอทก็มีกระต่ายหลายตัวมาถามฉันถึงบ้าน แม่เองก็ทึ่งที่ฉันมิวิธีหาเงินได้จริงๆ จนเลิกหัวเราะกระปุกความฝันของฉัน นี่เป็นอีกเรื่องที่ฉันมีความสุขที่สุด

"หาทีมสิจ๊ะบราวนี่ หนูก็แค่ชวนเพื่อนที่อยากหารายได้เหมือนหนูไปทำด้วยกัน หนูหาลูกค้าให้ เพื่อนรับจ้างเก็บ ตกลงส่วนแบ่งกัน เท่านี้หนูก็ได้เงินเพิ่มแล้ว"
"แบบนี้ก็เอาเปรียบเพื่อนสิคะฉันอดกังวลไม่ได้ เพื่อนลงแรงเก็บแต่ฉันมีส่วนได้เงินด้วย ถึงจะไม่เยอะเท่า แต่ก็กลัวเพื่อนว่าอยู่ดี
"สำหรับครู ครูมองว่ามันเป็นส่วนแบ่งที่เราควรจะได้นะ ลองไปถามเพื่อนๆดูก่อนก็ได้ ไปเล่าสิ่งที่หนูทำให้เขาฟัง ถ้าสนใจทำ และอยากหาลูกค้าเองก็ไม่เป็นไร แต่ครูเชื่อว่ามีกระต่ายอีกหลายตัวไม่กล้าเข้าไปหาลูกค้า แต่หนูกล้า นั่นคือโอกาสที่หนูจะได้"

เหมือนลูกค้าที่ร้านขนมแม่ เข้ามาคุยกับแม่จะรับขนมไปส่งต่อให้ เขาไม่ได้ลงแรงทำเอง ไม่ใช่คนขาย แค่เอาไปส่งต่อให้คนขายแค่นั้น แต่ก็ได้กำไร แบบนี้ใช้ไหมครับเจี๊ยบถามขึ้น

"ถูกต้องเจี๊ยบ เก่งมาก แต่คนที่รอบคอบต้องไม่ฝากความหวังไว้ที่งานเดียว พวกหนูลองไปค้นหาตัวเองดูว่ามีอะไรอีกที่พวกหนูชอบและทำได้ดี หรือมีปัญหาอะไรที่คนอื่นแก้ไม่ได้ แต่พวกหนูแก้ได้ หามันให้เจอ แล้วลองทำไปเรื่อยๆนะ"
"ครับ / ค่ะ" เราทั้งสองรับปาก ดร.พิทบูล

วิชาหาเงินที่ครูจะสอนพวกหนูคงมีแค่นี้ จากนี้พวกหนูต้องเจออะไรอีกเยอะ แต่จำคำครูไว้นะ อย่ายอมแพ้อะไรง่ายๆ ศรัทธาในตัวเอง เชื่อว่าตัวเองทำได้ และที่สำคัญต้องมีวินัย ออมทุกวัน ออมให้เป็นนิสัยนะ
ขอบคุณครับที่สอนพวกเรา
ขอบคุณมากๆค่ะ’  พวกเราเอ่ยขอบคุณ ดร.พิทบูล ก่อนจะขอตัวกลับบ้าน

แต่ระหว่างที่กำลังเดินออกไปจากโรงเรียน...

"เจี๊ยบ บราวนี่"
ครับ / คะเราหันกลับไปตามเสียงเรียกนั้น

"อย่าลืมหาความรู้เยอะๆนะ มีอีกหลายวิธีที่ช่วยให้กระปุกความฝันของพวกหนูเต็มเร็วกว่านี้" ดร.ตะโกนบอกจากหน้าต่าง
"ครับ/ ค่ะ"
ดร.พิทบูลยืนส่งยิ้มมาให้ โบกมือลาอยู่ไกลๆ เราเองก็โบกมือลาเช่นกัน ก่อนจะหันหลังกลับ ออกเดินทางต่อไป...


ถึงตอนนี้กระปุกความฝันทั้ง 3 กระปุกของฉันจะยังไม่เต็ม โทรศัพท์มือถือ ตุ๊กตาหมีพูดได้ และเงินออม อาจต้องรอเวลาสักหน่อย แต่ฉันเชื่อว่ามันจะเต็มเร็วๆนี้แน่นอน

คงต้องขอบคุณลุงเต่าที่สอนการออมให้ฉัน และทำให้ฉันได้รู้จักคนเก่งๆอย่าง ดร.พิทบูล ครูหน้าดุที่แสนจะใจดี ไม่น่าเชื่อว่าเวลาแค่เดือนกว่าที่ฉันสนใจเรื่องการเงิน จะทำให้ฉันเรียนรู้อะไรมากมายขนาดนี้ ตอนนี้ฉันไม่ใช่กระต่ายน้อยบราวนี่ขี้กลัวแล้วนะรู้ไหม แต่ฉันเป็นกระต่ายน้อยที่กล้า และศรัทธาในตัวเองแล้ว

ฉันนั่งจดบันทึกไป ยิ้มไป อดไม่ได้ที่จะหยิบจดหมายของลุงเต่ามาอ่านอีกครั้ง ฉันเพิ่งสังเกตุว่าอีกด้านของจดหมายมีข้อความหนึ่งที่ลุงเต่าเขียนไว้...

การออมอาจไม่ทำให้รวยเร็ว แต่มันเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้รวยแน่นอน สู้ๆนะบราวนี่

ขอบคุณค่ะลุงเต่า สู้ๆค่ะฉันยิ้มตอบจดหมายฉบับนั้น รู้สึกเหมือนลุงเต่ากำลังส่งยิ้มกลับมาให้

คงได้เวลาเข้านอนแล้วล่ะ พรุ่งนี้ฉันต้องตื่นแต่เช้า ไปเก็บแครอท และต้องมองหางานใหม่ หาความรู้ใหม่ๆเพิ่มด้วย ดร.บอกว่ามีอีกหลายวิธีที่ทำให้กระปุกความฝันเต็มเร็วขึ้น ฉันต้องหาให้เจอให้ได้ แต่ตอนนี้คงต้องเข้านอนแล้ว ไว้พบกันใหม่นะทุกคน ฝันดีจ้า

อ๊ะๆ อย่าลืมหยอดกระปุกความฝันก่อนนอนด้วยนะ ไว้เจอกันใหม่จ้า^^
                               


จบภาค 1 แล้วค่ะ ส่วนภาค 2 รอบราวนี่ออมเงินได้มากกว่านี้อีกหน่อยนะคะ เดี๋ยวบราวนี่ตัวน้อยจะมาเล่าให้ฟังใหม่ว่าทำยังไง กระปุกความฝันถึงได้เต็มเร็วกว่าที่หลายคนคาดไว้ แถมมีเงินเหลือใช้อีกต่างหาก ขอบคุณทุกคนที่อ่านค่ะ รักคนอ่านมากมาย อิอิ^^

วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ซีรี่ย์นิทานการเงิน ตอน เรียนวิชาหาเงิน ตอนที่ 3



วันนี้ฉันตื่นแต่เช้าเตรียมตัวไปเก็บแครอทเช่นเคย แต่เป็นวันไปเก็บแครอทที่ตื่นเต้นที่สุด ฉันจะเริ่มคุยกับใครก่อนดีนะ ป้าเจ กระต่ายบ้านข้างๆ เชอร์รี่กระต่ายคุณหนู ลุงวิลลี่กระต่ายขนฟูสีขาวๆ หรือ...

"โอ๊ย!" ฉันมัวแต่คิดเพลินจนเดินชนกับใครก็ไม่รู้

"เป็นไงบ้างจ๊ะหนูบราวนี่"
"ไม่เป็นไรค่ะคุณยายซาร่า หนูเดินไม่ระวังเอง ขอโทษค่ะ" ฉันขอโทษคุณยายซาร่า คุณยายกระต่ายที่ใจดีที่สุดในหมู่บ้านนี้

"ไม่เป็นไรก็ดีแล้วจ้า จะไปเก็บแครอทใช่ไหม ป๊ะ ไปพร้อมกัน ยายล่ะเหนื่อยจริงๆ แก่แล้วเดินไม่ค่อยไหว" คุณยายบ่นออกมา นั่นสิ ฉันถามคุณยายซาร่าได้นี่

"เอ่อคือคุณยายคะ คือถ้า...เอ่อ..."
"มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ" คุณยายถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่

'ไม่กล้าก็ไม่ได้เงินนะบราวนี่ กระปุกความฝันเธอก็จะไม่เต็มสักทีนะ กล้าเข้าสิ สู้ๆ' ฉันให้กำลังใจตัวเองก่อนจะกลั้นใจถามคุณยายซาร่าออกไป...

"คือให้หนูช่วยไหมคะ หมายถึงถ้าหนูจะรับจ้างเก็บแครอทให้ คุณยายสนใจไหมคะ" ฉันถามอย่างอายๆ

"สนสิจ๊ะ สนมากด้วย แล้วหนูคิดยังไงล่ะ ถ้าต้องเก็บให้ยาย ยายขอแครอทวันละ 3 หัวก็พอ แต่ต้องเก็บใหม่ทุกวันนะ ยายชอบกินแครอทสดๆ"

นั่นสิ ฉันไม่เคยคิดเรื่องนั้นเลย จะคิดเท่าไหร่ดีนะ
ระหว่างที่ฉันกำลังคิดหนักคุณยายซาร่าก็ชี้ทางสว่างให้

"หัวละ 1 บาทเป็นไงจ๊ะ จะจ่ายเป็นวันหรือเดือนก็ได้จ้า ยายคงให้หนูเก็บให้ทุกวันอยู่แล้ว"

หัวละ 1 บาทวันละ 3 หัวเท่ากับวันละ 3 บาท 1 เดือนฉันก็จะได้ 90 บาทเลยเหรอ เยอะมากๆเลย ฉันจึงตอบตกลงไปทันที

"ได้ค่ะ แต่หนูขอรับเงินเป็นเดือนนะคะ คือหนูอยากเก็บเงินเป็นก้อนค่ะ"

"ได้สิ งั้นเริ่มวันนี้เลยนะ ยายเหนื่อยแล้ว ขอกลับไปรอแครอทที่บ้านนะจ๊ะบราวนี่"

"ค่ะคุณยาย เดี๋ยวหนูเอาไปส่งนะคะ ขอบคุณที่จ้างหนูค่ะ" ฉันยิ้มให้คุณยายซาร่า ง่ายกว่าที่คิดอีกนะ วิธีหาเงินเนี่ย

และตอนสายๆของวันฉันก็เอาแครอทไปส่งบ้านคุณยาย คุณยายจ่ายเงินฉันมา 90 บาทเลย บอกว่าฉันจะได้มีกำลังใจในการเก็บแครอทให้คุณยายทุกวัน คุณยายใจดีสุดๆไปเลย

บางทีพรุ่งนี้ฉันอาจจะไปถามกระต่ายตัวอื่นๆด้วย จะได้มีลูกค้าเยอะๆ ได้เงินไปหยอดกระปุกความฝันเยอะๆ ถ้าเป็นแบบนั้นกระปุกความฝันของฉันต้องเต็มเร็วขึ้นแน่ๆเลย^^

โปรดติดตามตอนต่อไป

#ซีรี่ย์นิทานการเงิน #กระต่ายน้อยบราวนี่ #สถานีไออุ่น

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ซีรี่ย์นิทานการเงิน ตอน เรียนวิชาหาเงิน ตอนที่ 2

ซีรี่ย์นิทานการเงิน
ตอน เรียนวิชาหาเงิน
ตอนที่ 2ิ



งานที่ทำเงินได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นงานที่ยากเสมอไปหรอกจ้าบราวนี่ วิธีคิดง่ายๆในการหางานหาเงินของครูคือ ดูว่าตัวเองชอบอะไรและทำอะไรได้ดีที่สุด ดูว่าคนอื่นมีปัญหาอะไร และทำยังไงเราถึงแก้ปัญหานั้นได้ อย่างหนูชอบเก็บแครอท หนูทำมันได้ดี แต่อาจจะมีกระต่ายอีกหลายตัวที่ไม่ชอบเก็บก็ได้จริงไหม

"จริงค่ะ หนูเห็นกระต่ายหลายตัวบ่นบ่อยๆ ดร.กำลังจะบอกให้หนูรับจ้างเก็บแครอทหรือเปล่าคะ ไม่เอาหรอกค่ะ ใครจะมาจ้างหนู"

"หนูเคยลองหรือยังล่ะ ถึงคิดว่าไม่มีใครจ้าง ถ้าครูเป็นหนูครูจะไปถามกระต่ายทุกตัว ว่าถ้าหนูอาสาเก็บแครอทให้แลกกับค่าตอบแทนเล็กน้อย เขาจะสนใจไหม"
ดร.พิทบลูแนะนำให้ แต่ใครจะกล้าล่ะ ฉันอายนะ เกิดเขาไม่จ้างฉันล่ะ

ดร.คงเห็นแววตากังวลของฉัน ไม่ใช่แค่ฉันหรอก ดูเจี๊ยบก็กังวลเหมือนกัน ถ้าเขาทำขนมเขาอาจจะขายไม่ได้ก็ได้

"จำไว้นะบราวนี่ เจี๊ยบ สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดคือความมั่นใจในตัวเอง ศรัทธาตัวเอง ถ้าพวกหนูไม่ศรัทธาว่าตัวเองทำได้ ทุกอย่างก็จบ เหมือนที่หนูทำกระปุกความฝันนั่นแหละ เพราะหนูศรัทธาหนูถึงทำได้ เรื่องนี้ก็เหมือนกัน เจี๊ยบจะขายขนมได้ไหม บราวนี่จะหาลูกค้าได้ไหม อย่าเพิ่งไปกังวลมาก แค่ทำให้เต็มที่ ศรัทธาในตัวเองก็พอ เชื่อครู"

ฉันคิดตามที่ ดร.พูด จริงสินะ ฉันยังไม่ลองเลย จะมากังวลไปก่อนทำไม
"ครับ ดร. ผมจะทำให้เต็มที่ จะไม่คิดไปก่อน" เจี๊ยบพูดขึ้น ทำไมเจี๊ยบคิดได้ก่อนฉันตลอดเลยนะ ฉันคงต้องมองเจี๊ยบใหม่แล้วล่ะ เจี๊ยบดูจริงจังมากวันนี้ ไม่เหมือนลูกไก่พูดไม่เพราะตัวเดิมเลย
"หนูก็เหมือนกันค่ะฉันตอบไปบ้าง

เอาล่ะวันนี้พอแค่นี้ พวกหนูลองไปทำดูก่อน สัปดาห์หน้าค่อยมาหาครูใหม่
"ขอบคุณครับ ดร. / ขอบคุณค่ะ ดร."

เส้นทางการหาเงินเริ่มต้นแล้วสินะ...


โปรดติดตามตอนต่อไป

ซีรี่ย์นิทานการเงิน ตอน เรียนวิชาหาเงิน ตอนที่ 1

มาตามสัญญาค่ะ^^
สำหรับใครที่ยังไม่เคยอ่านเรื่องนี้มาก่อน ลองไล่อ่านในบล็อกดูก่อนนะคะ เดี๋ยวจะงง หรือลิงค์ในพันทิปอันนี้ก็ได้ค่ะ รวมทุกตอนที่ผ่านมาแล้วค่ะ^^
http://pantip.com/topic/34054326
http://pantip.com/topic/34090691

ได้เวลาต่อตอนต่อไปกันแล้ว ไปกันเลยยยยยยยยยย



ซีรี่ย์นิทานการเงิน
ตอน เรียนวิชาหาเงิน
ตอนที่ 1

ฉันกับเจี๊ยบ ยืนอยู่หน้าห้อง ดร.พิทบูลเป็นครั้งที่สองของวัน แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไป เราสองคนไม่มีความกลัว แต่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นกระตือรือร้น ฉันไม่คิดว่าเจี๊ยบที่เคยหัวเราะกระปุกความฝันของฉัน จะสนใจเรียนวิชาหาเงินด้วย แต่เจี๊ยบก็สนใจ

ก๊อกๆ
เข้ามา” เสียงดังๆของ ดร.บอกเรา หลังจากประตูถูกกระชากเปิดอย่างแรงเช่นเคย
ปัง!
แน่ละ เสียงประตูของ ดร. ถึงจะรู้อยู่แล้ว แต่ฉันกับเจี๊ยบก็อดสะดุ้งไม่ได้ บางทีฉันคงต้องขอให้ ดร.พิทบูลรีบซ่อมประตูเร็วๆ ก่อนที่ฉันกับเจี๊ยบจะตกใจจนไม่ได้มาเรียนวิชาหาเงิน

นั่งสิ ทำไมเธอสองคนถึงอยากเรียนวิชาหาเงินกับครูล่ะ
หนูอยากมีเงินไปหยอดกระปุกความฝันของหนูค่ะ โทรศัพท์มือถือ ตุ๊กตาหมีพูดได้ และเงินออม หนูหยอดเงินใส่ทั้งสามกระปุกทุกวัน แต่หนูอยากให้มันเต็มเร็วๆ อยากให้ความฝันสำเร็จเร็วๆ ค่ะฉันตอบ ดร.พิทบูล
ผมอยากมีเงินเก็บเยอะๆครับ อยากใช้เงินตัวเองไม่ต้องขอที่บ้านอีกนั่นคือเหตุผลที่เจี๊ยบตอบ

เข้าใจแล้ว พอจะบอกครูได้ไหม อะไรคือสิ่งที่พวกเธอชอบทำและทำได้ดีที่สุด
ที่บ้านผมเป็นร้านขนม ผมทำขนมได้ครับ ผมเคยทำขนมรูปพี่เจี๊ยบ โดราเอมอน อุลตร้าแมน และรูปการ์ตูนต่างๆด้วยครับ มีหลายคนชมว่าผมทำเหมือนด้วยเจี๊ยบตอบ ดร.อย่างมั่นใจ

ฉันรู้ว่าบ้านเจี๊ยบทำขนมขาย แต่ไม่เคยรู้ว่าเจี๊ยบทำเป็นด้วย แต่ฉันสิ ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง แล้วฉันจะตอบอะไร ดร.ยังไงล่ะ
เยี่ยมมากเจี๊ยบ หนูล่ะ บราวนี่
หนูไม่รู้ค่ะ ดร. หนูไม่เก่งสักเรื่องเลย วาดรูป ร้องเพลงก็ไม่ได้ ทำขนมเหมือนเจี๊ยบก็ไม่เป็น หนูชอบอย่างเดียวคือเก็บแครอทให้แม่ค่ะ ตอบไปแล้วก็อาย ฉันเพิ่งรู้ว่าทำอะไรไม่เป็นตอน ดร. ถามนี่แหละ
นั่นแหละ คือสิ่งที่จะทำเงินให้หนู
หา เก็บแครอทเนี่ยนะคะ
แค่เก็บแครอทเนี่ยนะ จะทำเงินให้ฉันได้ยังไง


โปรดติดตามตอนต่อไป...

อ๊ะอ๊ะ อย่าเพิ่งเคืองที่มาน้อยนะคะ ตอนต่อไปในโพสต์ถัดไปเลยค่ะ ลงวันนี้แหละ แยกให้อ่านง่ายเฉยๆ ไปอ่านกันเลยยยยย

รีวิวหนังสือ - ฉันอยากมั่นใจในตัวเอง


ฉันอยากมั่นใจในตัวเองหนังสือการ์ตูนความรู้ดีๆอีกเล่มที่อยากบอกต่อ...

ฉันอยากมั่นใจในตัวเองเป็นหนึ่งในหนังสือชุด โรงเรียนสร้างคนดี ซึ่งเป็นการ์ตูนความรู้ หมวดพัฒนาตนเอง โดยในเล่มนี้จะเน้นไปที่การสร้างความมั่นใจให้ตัวเองตามชื่อเรื่อง เรียกได้ว่าเห็นชื่อแล้วรู้เลยว่าข้างในสอนอะไร แต่ถึงจะรู้ประเด็นหลักที่สอน แต่บอกเลยว่าเนื้อหาข้างในน่าสนใจไม่น้อย

ฉันอยากมั่นใจในตัวเองเล่าเรื่องผ่านชีวิตของเนมิ เด็กหญิงผู้ขาดความมั่นใจและไม่กล้าแสดงออก นั่นเพราะเนมิคิดว่าตัวเองไม่เก่ง ไม่น่ารัก ผิวคล้ำบ้างล่ะ ตัวเตี้ยบ้างล่ะ หัวฟูบ้างล่ะ นั่นคือสิ่งที่เด็กหญิงเนมิตัวน้อยคิดและน้องชายตัวแสบก็พูดแหย่พี่เป็นประจำ ทั้งๆที่ความจริงเธอก็มีความเก่ง มีข้อดีในตัวเช่นกัน แต่เพราะคิดมาก ไม่มั่นใจในตัวเอง ทำให้เนมิไม่กล้าแสดงออกและมองข้ามข้อดีของตัวเองไป ยิ่งพอได้เรียนร่วมห้องกับยูมิน เด็กหญิงที่สวย เก่ง น่ารัก เพอร์เฟกต์ไปซะทุกอย่าง(ในสายตาของเนมิและทุกคน) อีกทั้งยังชอบพูดจาเปรียบเทียบกับเนมิอีก ยิ่งทำให้ความมั่นใจที่ไม่ค่อยมี ติดลบไปเลย แต่ในสถานการณ์ที่เนมิกำลังรู้สึกแย่ คนเขียนก็ส่งเทวดาตัวน้อยอิมพอร์ตจากสหรัฐอเมริกามาช่วยเหลือ เจมเป็นชื่อของเด็กชายคนนั้น และเจมก็กลายมาเป็นเพื่อนสนิทของเนมิในเวลาต่อมา เพราะชอบเลี้ยงหมาเหมือนกัน และอาจเพราะเคยผ่านช่วงเวลาแย่มาเหมือนกัน เลยเข้าใจกันได้ดี และเจมก็เป็นหนึ่งในตัวละครสำคัญที่ช่วยให้เนมิค้นพบตัวเองและมั่นใจมากขึ้น แต่กำลังใจที่สำคัญกว่านั้นคือพ่อแม่ น้องชายตัวแสบ และเจ้าแฮปปี้สุนัขแสนรักของเนมินั่นเอง

แน่นอนว่าการ์ตูนความรู้สำหรับเด็กเช่นนี้ ภาษาที่ใช้ย่อมเป็นภาษาที่ง่ายต่อการเข้าใจ รูปภาพประกอบยิ่งเพิ่มความน่ารักน่าอ่านขึ้นไปอีก ส่วนการดำเนินเรื่องคนเขียนใช้วิธีการเล่าง่ายๆแต่สนุกได้สาระ และสิ่งที่เราชอบอีกอย่างในเรื่องนี้คือ การไม่พยายามยัดความรู้หรือวิธีสร้างความมั่นใจมากจนเกินไป ทำให้เรารู้สึกเหมือนอ่านการ์ตูนสนุกธรรมดาๆเล่มหนึ่ง ไม่ใช่การ์ตูนความรู้แต่อย่างใด

สำหรับผู้ปกครองหรือนักอ่านการ์ตูนความรู้ที่ชอบเนื้อหาความรู้แน่นๆ การ์ตูนเล่มนี้อาจไม่เหมาะนัก แต่ถ้าอยากได้การ์ตูนสนุกๆ อ่านเพลินๆ เหมือนการ์ตูนธรรมดาทั่วไป แต่มีข้อคิดเกี่ยวกับการสร้างความมั่นใจในตัวเองและความรู้เล็กๆอื่นๆแทรกไว้  หนังสือการ์ตูนความรู้เล่มนี้น่าสนใจทีเดียวค่ะ ถ้ามีโอกาสไปร้านหนังสือลองหยิบจับมาอ่านเล่นๆดูนะคะ เรียกได้ว่าใครชอบอ่านการ์ตูนแนวเด็กๆใสๆได้ความข้อคิดหน่อยๆ เรื่องนี้ไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอนค่ะ
…………………………………………………
ข้อมูลหนังสือ
ชื่อหนังสือ: ฉันอยากมั่นใจในตัวเอง
เขียน: แพทย์หญิงช็อนคึนอา จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น นักวิจัยด้านสมอง
เรื่อง (ผู้แต่งร่วม): เนโอนบี
ภาพประกอบ: โดโด
ผู้แปล: นริศร์ จิตปัญโญยศ 
สำนักพิมพ์: นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์ ราคา 185 บาท (216 หน้า)


จบรีวิวอันนี้เรามาต่อซีรี่ย์นิทานการเงิน ชุด กระต่ายน้อยบราวนี่กันค่ะ เมื่อวานมีคนไปคอมเม้นในเพจว่ารออ่านบราวนี่อยู่คนเขียนแบบปลื้มไฟมาทันใด อิอิ^^


วันพักผ่อนสบายๆคงไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้นอนโง่ๆบนเตียง...

ลงย้อนหลังให้แล้วนะคะ ขออภัยเยอะๆ ที่หายไปนาน
ปิดท้ายด้วยอันนี้ ย้อนหลังอันสุดท้ายแล้วค่ะ เขียนตามอาการเพ้อๆ ในวันที่ขี้เกียจ เหมาะกับวันอาทิตย์เสียนี่กระไร ลองอ่านดูค่ะ...


วันพักผ่อนสบายๆ คงไม่มีอะไรดีไปกว่า...

การได้นอนโง่ๆบนเตียง



ไม่ต้องไปคิด ไม่ต้องไปสนใจอะไร
งานจะยุ่งก็เรื่องของงาน วันพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน
ฝนจะตกก็ปล่อยให้ตกไป 
ดีเสียอีก ได้นอนสบายๆไม่ต้องออกไปไหน
ใครจะทำอะไรก็ปล่อยไป ในเมื่อไม่ใช่เรื่องของเรา
จะเก็บเอามาคิดให้ปวดหัวทำไมเล่า

นอนโง่ๆ พักสมอง ปล่อยใจให้สบายๆเสียบ้าง
บางทีการอยู่เฉยๆไม่คิด ไม่ทำอะไร 
ก็ไม่ใช่การหนีปัญหาหรือยอมแพ้เสมอไป
แต่เป็นการพักใจ ชาร์จแบตเติมไฟให้มีแรงลุกสู้ต่อต่างหาก

แต่ตอนนี้ ฉันขอนอนโง่ๆบนเตียงแบบนี้ไปเรื่อยๆก่อนนะ
ไว้ไฟมาจะลุกมาลุยใหม่





26 ตัวอักษรแห่งรัก ตัวที่ 1 F- Friday


ค่ำคืนวันศุกร์สุดสัปดาห์
เวลาที่ใครหลายๆคนออกไปสังสรรค์รื่นเริง
บางคนก็เลือกจะใช้เวลากับครอบครัว กับคนที่รัก
ในขณะที่บางคนเลือกจะเอนกายพักผ่อน หลังจากเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งสัปดาห์

วันศุกร์จึงเป็นวันที่หลายๆคนตั้งตารอให้มาถึง
เพราะนั่นหมายถึงเราจะมีวันหยุดให้พักผ่อนในวันถัดไป
แต่นั่นแหละ ต่อให้เราอยากเร่งวันเร่งคืนแค่ไหน ก็คงเป็นไปไม่ได้
เพราะอย่างไรเสีย ก่อนจะถึงวันศุกร์ เราจำเป็นต้องผ่านวันจันทร์ อังคาร พุธ พฤหัสบดีเช่นเดิม

บางเรื่องเราก็ทำได้แค่รอ แต่คงไปเร่งอะไรไม่ได้
เพราะทุกอย่างมีจังหวะเวลาของมัน

ความรักก็เช่นกัน
ต่อให้เราพยายามไขว่คว้า ค้นหา อยากพบเจอแค่ไหน
ถ้ายังไม่ถึงเวลาที่ใช่ ก็เท่านั้น

เราเร่งวันศุกร์ให้มาถึงเร็วไม่ได้ฉันใด
เราก็เร่งความรักไม่ได้ฉันนั้น

สิ่งเดียวที่ทำได้คือ ใช้เวลาระหว่างวันให้คุ้มค่าและมีความสุขที่สุด
จะเป็นวันจันทร์ อังคาร พุธ พฤหัสฯ ก็สามารถสร้างรอยยิ้ม สร้างความสุขให้ตนเองได้

ไม่ต้องไปฝืนความจริง ไม่ต้องไปตั้งตานับวันรอ
ถึงเวลาของวันศุกร์ วันศุกร์ก็มาของมันเอง
ถึงเวลาของความรัก ความรักก็มาของมันเองเช่นกั

จะนับวันรอแค่วันศุกร์ไปทำไม ในเมื่อเราก็มีความสุขได้ในทุกๆวัน

#26ตัวอักษรแห่งรัก
ตัวที่ 1 F - Friday

#สถานีไออุ่น
ปล.ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต...


สุข...ไร้สาระ



ยังจำความรู้สึกเหล่านี้ได้ไหม...

ความรู้สึกตอนเล่นพ่อแม่ลูกกับเพื่อนๆ
ตอนดูการ์ตูนเรื่องโปรดกับครอบครัว
แต่งตัวให้ตุ๊กตาตัวน้อย
หรือเอาหุ่นยนต์ไปสู้รบกันสนุกสนาน

ยังจำความรู้สึกเหล่านี้ได้หรือเปล่า ว่าเรามีความสุขแค่ไหน ยิ้มได้กว้างแค่ไหนในเวลานั้น
ทั้งๆที่กิจกรรมเหล่านั้นก็ไม่ใช่เรื่องยิ่งใหญ่อะไรเล
หากแต่เป็นเรื่องเล็กๆที่ไร้สาระด้วยซ้ำ
แต่น่าแปลกที่เรื่องไร้สาระแบบนี้กลับสร้างความสุขมากมายให้เราได้

หรือบางทีช่วงชีวิตในวัยเด็กอาจกำลังบอกเราว่า เรื่องไร้สาระ ง่ายๆ แบบนี้ต่างหากคือความสุขที่แท้จริงของเรา

และถึงแม้จะโตเป็นผู้ใหญ่ เราก็สามารถมีความสุขกับเรื่องง่ายๆ ไร้สาระได้เช่นเดิม ตราบเท่าที่เราต้องการ

จะดีไหม ถ้าในเวลาที่เคร่งเครียดกับปัญหาต่างๆ ปล่อยให้สมองเราได้พักบ้าง อนุญาตให้ความเป็นเด็กในตัวออกมาพบความสุขที่ไร้สาระดูสักหน่อย อยากดูหนัง ฟังเพลง อยากเที่ยว หรืออยากนอนเฉยๆทั้งวันก็ทำไป ไม่ต้องไปคิดหาเหตุผลที่ทำ แค่รู้ว่ามีความสุขที่ได้ทำก็พอ

ไม่แน่นะ ในเวลาที่มีความสุข เวลาที่ใจสบายเช่นนั้น เราอาจจะค้นพบวิธีแก้ปัญหาต่างๆที่กำลังเผชิญอยู่ก็ได้...

ลองเปิดโอกาสให้ตัวเองมีความสุขกับไร้สาระดูบ้างนะคะ อีโมติคอน smile

#สุขไร้สาระ #สถานีไออุ่น

ปล. ขอบคุณรูปน่ารักจากอินเตอร์เน็ตค่ะ^^

เมื่อความโกรธกระทบใจ...


'เมื่อความโกรธกระทบใจ'อาวุธ' ที่ทำร้ายทุกอย่างเร็วที่สุดคือ 'วาจาที่ขาดสติ'

ประโยคสั้นๆที่บังเอิญผ่านตาหน้าฟี๊ดข่าวเมื่อครู่ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าบ่อยครั้งเราก็เป็นเช่นนั้น และไม่ใช่แค่คำพูดที่เป็นอาวุธเท่านั้น แต่ทุกการกระทำที่เราแสดงออกไป แม้กระทั่งข้อความต่างๆที่โพสต์ไปในโลกเสมือนจริงที่ชื่อเฟสบุ๊คแห่งนี้ก็เป็นอาวุธร้ายแรงเช่นกัน

หลายครั้งที่เราโพสต์ต่อว่าใครต่อใครเพียงเพราะความโกรธ เพราะโมโห เพราะอยากระบายความรู้สึก เราแค่ต้องการโพสต์อะไรที่คิดไปเพียงเท่านั้น พอสบายใจ พอมีเรื่องราวใหม่ๆผ่านเข้ามาก็หลงลืม

เราอาจหลงลืมบางเรื่องได้ง่ายดาย แต่จะแน่ใจได้อย่างไรว่าคนที่เราโพสต์ถึง เขาจะลืม จริงอยู่โพสต์ในเฟสบุ๊คสามารถลบทิ้งไปได้ แต่เราไม่สามารถลบความรู้สึกบางอย่างออกไปจากใจคนอ่านได้หรอก ความรู้สึกโกรธ เสียใจ ผิดหวัง น้อยใจ เราคงลบมันไปไม่ได้

จะดีกว่าไหม ถ้าลองคิด ลองพิจารณาดูสักนิดก่อนจะโพสต์อะไรลงไป ลองถามตัวเองดูก่อนว่าเรารู้สึกแบบนั้นจริงๆหรือแค่อารมณ์ชั่ววูบ ถามตัวเองดูก่อนว่ารับผลที่ตามมาได้ไหม ถ้าเราต้องสูญเสียความรู้สึกดีๆของใครบางคนที่มีให้เราไปเพียงเพราะโพสต์นั้น

อย่าให้ประโยคที่โพสต์เพราะความรู้สึกชั่ววูบ เพราะความโกรธ ความโมโห ทำให้ต้องมองหน้ากันไม่ติดเวลาต้องเจอในชีวิตจริงเลย...

#สถานีไออุ่น

ปล. เขียนไว้เตือนสติตัวเองค่ะ เผื่อเวลาโมโหได้อ่านจะได้นึกได้ว่าตัวเองกำลังจะเป็นแบบนั้น...

ปล 2. ขอบคุณรูปภาพและข้อความเตือนใจจากเพจ DMC และขอบคุณใครบางคนที่กดไลค์จนมาแสดงหน้าฟี๊ดข่าวให้เราเห็น

ปล 3. ถ้ารู้สึกอึดอัดอยากระบาย หาคนไว้ใจฟังไม่ได้จริงๆ แนะนำให้เขียนใส่กระดาษดูค่ะ อยากด่าอยากว่าใครจัดไปเลย พออารมณ์เย็นลง แล้วยังรู้สึกแบบนั้นอยู่ จะโพสต์ด่าลงในเฟสอีกรอบก็ยังไม่สาย แต่เชื่อแน่ว่าหลายคนอาจไม่อยากโพสต์ แบบนั้นอีกแล้ว...


ข้อคิดดีๆที่ได้จากการวาดภาพในโทรศัพท์มือถือครั้งแรก...

ภาพเด็กผู้หญิงลายเส้นง่ายๆภาพนี้เป็นฝีมือการวาดรูปในโทรศัพท์มือถือครั้งแรกของเรา ตอนแรกที่วาดเสร็จ คิดเหมือนกันว่าจะกล้าเอาให้ใครดูไหม ฝีมือราวกับเด็กอนุบาลเช่นนี้
แต่ความเป็นเด็กในตัวบอกว่า ‘ก็ฉันอยากอวดน่ะ วาดครั้งแรกเลยนะ เอาไปให้เพื่อนดูเลย กลัวอะไร’ 
และแล้วเจ้าความรู้สึกเด็กน้อยก็ชนะ เลยมีโอกาสนำภาพนี้มาให้ทุกคนดู...

คิดๆไปแล้วเจ้าความรู้สึกเด็กน้อยก็มีอะไรดีเหมือนกันนะ ถ้าเรารู้จักดึงออกมาใช้ให้ถูกเวลา
ลองคิดดูสิ ถ้าตอนนั้นเราปล่อยให้ความรู้สึกแบบผู้ใหญ่ที่ผ่านอะไรมาเยอะชนะ เราคงไม่กล้าตั้งแต่เริ่มวาดด้วยซ้ำ กลัววาดออกมาไม่สวย และพอวาดเสร็จเจ้าความรู้สึกผู้ใหญ่ก็ยังบอกอีกว่าอย่าเอาไปให้ใครดูเลย อายเขา

แต่โชคดีที่ความรู้สึกของเด็กที่อยากรู้อยากลองชนะ เราเลยได้ลงมือทำ ลงมือวาดครั้งแรก และได้มาแบ่งปันให้ทุกคนได้ดู
แน่ล่ะมันอาจจะไม่สวยเท่าไหร่ แต่ก็เป็นการเริ่มต้นที่ไม่เลวทีเดียว

เรื่องอื่นๆในชีวิตก็เช่นกัน หลายครั้ง คำว่าผู้ใหญ่ที่รู้อะไรเยอะ ผ่านอะไรมามาก ทำให้เราไม่กล้าริเริ่มทำอะไรใหม่ๆ กลัวผิด กลัวพลาด กลัวไปหมด ทั้งๆที่ความจริงไม่จำเป็นต้องกลัวเลยสักนิด ผิดก็เริ่มใหม่ได้ พลาดก็เริ่มใหม่ได้ ไม่มีตำราเล่มไหนบอกว่าเราเริ่มใหม่ได้ครั้งเดียวเสียหน่อย ดูอย่างตอนเด็กที่เราเริ่มหัดเดินสิ ตอนนั้นเราคงล้มไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง เรายังกล้าลุกขึ้นมาหัดเดินใหม่เลย หัดเดินเรื่อยๆจนเดินได้คล่องเช่นทุกวันนี้ แต่พอโตเป็นผู้ใหญ่หลายครั้งเรากลับยอมแพ้อะไรง่ายๆ ล้มครั้งเดียวก็เลิก ก็ยอมแพ้ คิดๆไปก็อายเด็กเหมือนกันเนอะ (อันนี้ว่าตัวเอง)

นอกจากนี้ความเป็นเด็กยังมีอะไรดีๆอีกหลายอย่าง ไว้คราวหน้าเราจะมาเล่าให้ฟังใหม่ ตอนนี้ต้องสลัดคราบเด็กน้อยไปทำงานในโหมดผู้ใหญ่แล้ว ความเป็นเด็กในตัวก็ดี แต่บางทีความเป็นผู้ใหญ่ก็สำคัญเช่นกัน...